ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการและการตัดสินใจ
แนวคิดและองค์ประกอบ
1. แนวคิด
ปัจจุบัน องค์การธุรกิจได้นำระบบสารสนเทศ
มาใช้ร่วมกับเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีประสิทธิภาพสูงและต้นทุนการใช้งานต่ำ เช่น
ระบบคอมพิวเตอร์ และระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
จึงก่อให้เกิดระบบสารสนเทศที่หลากหลายรูปแบบ เช่น ระบบสารสนเทศตามหน้าที่งาน
ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการและระบบสารสนเทศสนับสนุนการตัดสินใจ
อย่างไรก็ตาม
องค์การยังตระหนักถึงการนำข้อมูลที่ได้รับจากระบบสารสนเทศมาใช้
เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจของผู้จัดการและผู้บริหารให้มีความถูกต้องและแม่นยำมากยิ่งขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์ การตลาด การเงินหรือการจัดการทั่วไปโดยตอบสนองความต้องการข้อมูลเพื่อการตัดสินใจ
ซึ่งถือเป็นปัจจัยหลักอย่างหนึ่งของการพัฒนาระบบสารสนเทศ ดังนั้นองค์การจึงมีการประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ
และระบบสนับสนุนการตัดสินใจควบคู่ไปกับการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
รวมทั้งการพาณิชย์เคลื่อนที่ได้อย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
2. องค์ประกอบ
2.1 ฐานข้อมูล หมายถึง
หน่วยเก็บและรวบรวมข้อมูลที่มีประโยชน์
ซึ่งพร้อมสำหรับการให้บริการเรียกใช้ข้อมูลได้ทุกเวลาที่ผู้ใช้ต้องการโดยใช้ซอฟต์แวร์ประเภทระบบจัดการฐานข้อมูล
2.2 การสื่อสาร หมายถึง
เครื่องมือที่ช่วยด้านการสรรหาข้อมูลจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ
และส่งผ่านข้อมูลมาจัดเก็บในระบบคอมพิวเตอร์ที่เป็นเป้าหมาย
เพื่อนำข้อมูลมาใช้ประโยชน์
2.3 เครือข่ายข้อมูล หมายถึง
การเชื่อมโยงข้อมูลภายในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
โดยการเชื่อมโยงระบบประยุกต์และฐานข้อมูลเข้าด้วยกัน
2.4 การวิเคราะห์ข้อมูล หมายถึง
กระบวนการที่ใช้วิเคราะห์และประมวลผลข้อมูลให้อยู่ในรูปของสารสนเทศที่นำมาใช้ในการตัดสินใจได้ทันที
2.5 การพัฒนากลยุทธ์ หมายถึง
กระบวนการกำหนดกลยุทธ์ด้านระบบสารสนเทศที่สอดคล้องกับกลยุทธ์ธุรกิจ
ตลอดจนสภาพแวดล้อมของธุรกิจซึ่งเป็นอยู่ในขณะนั้น
การจัดการ
1. แนวคิดและความหมาย
รอบบินส์และคูลเทอร์ (Robbins
& Coulter, 2003, p.2)ได้ให้คำนิยามไว้ว่า การจัดการ คือ
กระบวนการประสานงาน เพื่อช่วยให้บรรลุวัตถุประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
โดยใช้หลักการวัดผล ดังนี้
ประสิทธิภาพ
วัดได้จากทรัพยากรที่ใช้และผลผลิตที่ได้
ถ้าหากใช้ทรัพยากรน้อยและได้ผลผลิตมากกว่าเดิมถือว่ามีประสิทธิภาพ
ประสิทธิผล
วัดได้จากความสามารถในการบรรลุเป้าหมายขององค์การในระยะยาว
หากองค์การใดสามารถบรรลุทั้งประสิทธิภาพและประสิทธิผล
จะถือว่าองค์การนั้นได้รับผลผลิตสูง
สำหรับฟังก์ชันการจัดการ สามารถจำแนกได้ 5 ประการ ดังนี้
1.การวางแผน
เกี่ยวข้องกับการกำหนดเป้าหมาย กลยุทธ์ กรอบแนวคิด กระบวนการ
ตลอดจนการประสานงานในกิจกรรมต่างๆ
2.การจัดองค์การ เป็นการกำหนดกิจกรรมที่จะต้องทำ บุคลากรผู้รับผิดชอบ
อำนาจหน้าที่ กลุ่มงาน รวมทั้งสายการบังคับบัญชา
3.การจัดบุคคลเข้าทำงาน เป็นการจัดวางบุคคลให้เหมาะสมกับงานทั้งงานด้านคุณภาพของบุคคลและปริมาณแรงงานที่ต้องการ
ตลอดจนการพัฒนาบุคคล
4.การนำ
เป็นการสั่งการหรือจูงใจให้ทุกฝ่ายทำงานร่วมกันอย่างเต็มความสามารถ
เพื่อบรรลุเป้าหมายและประโยชน์สูงสุดขององค์การ
5.การควบคุมเป็นการกำหนดเกณฑ์
และมาตรฐานงานเพื่อการตรวจสอบและประเมินผลการปฏิบัติงาน
2. ผู้จัดการและผู้บริหาร
ในแต่ละองค์กรธุรกิจ จะมีโครงสร้างองค์การ
ซึ่งบ่งบอกระดับชั้นของบุคคลากรในองค์การ ซึ่งอาจจะใช้ชื่อผู้จัดการ หรือผู้บริหาร
ขึ้นอยู่กับโครงสร้างองค์กร
ผู้จัดการและผู้บริหาร คือ
บุคคลที่ทำงานร่วมกับผู้อื่นโดยเป็นผู้ประสานงานในการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ
ระหว่างแผนกงาน ทีมงาน และบุคคลภายนอกองค์การโดยทั่วไปแล้ว มีการจำแนกผู้จัดการและผู้บริหารเป็น
3 ระดับ
2.1 ผู้บริหารระดับสูง คือ
ผู้ที่ปฏิบัติงานอยู่ส่วนบนสุดของโครงสร้าง โดยรับผิดชอบด้านการจัดการเชิงกลยุทธ์
จัดทำแผนระยะยาวที่กำหนดทิศทาง เป้าหมาย กลยุทธ์ทรัพยากรและนโยบายองค์การ
2.2 ผู้จัดการระดับกลาง คือ
ผู้ปฏิบัติงานและรับผิดชอบสำหรับงานด้านการจัดการเชิงกลวิธี
จัดทำแผนระยะปานกลางที่สอดคล้องกับแผนกลยุทธ์และควบคุมการปฏิบัติงาน
จัดอยู่ในระดับหน่วยธุรกิจ
2.3 ผู้จัดการระดับล่าง คือ
ผู้ปฏิบัติงานและรับผิดชอบงานด้านการจัดการเชิงปฏิบัติการ โดยจะมีหน้าที่ควบคุมดูแลการทำงานของบุคคลผู้ปฏิบัติงาน
จัดทำแผนปฏิบัติงานซึ่งเป็นแผนระยะสั้น และมักเน้นถึงการสร้างผลงานที่เป็นรูปธรรมบทบาททั่วไปของผู้จัดการและผู้บริหารทั้ง
3 ระดับ ดังนี้
ระดับที่ 1 ด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
จำแนกได้ 3 บทบาท คือ
1.การเป็นตัวแทนและภาพลักษณ์ที่เป็นรูปธรรมขององค์การ
2.การเป็นผู้นำองค์การกระตุ้นพนักงานให้ร่วมแรงร่วมใจกับปฏิบัติหน้าที่
3.การประสานงานกับบุคคล หรือกลุ่มบุคคล เพื่อสร้างความราบรื่นด้านการดำเนินงาน
ระดับที่ 2
ด้านข้อมูลข่าวสาร จำแนกได้ 3 บทบาท คือ
1. การเป็นตัวกลางด้นการไหลเวียนข่าวสาร และติดตามตรวจสอบข้อมูล
2. การเป็นผู้กระจายข่าวสารให้พนักงานรับทราบ
3. การเป็นโฆษกที่ทำหน้าที่กระจายข่าวสารขององค์การไปสู่ภายนอก
ระดับที่ 3
ด้านการตัดสินใจ จำแนกได้ 3 บทบาท คือ
1.การเป็นผู้ประกอบการ โดยการคิดค้นและสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ
2.การเป็นนักแก้ปัญหาให้ลุล่วงไป และเป็นคนกลางคอยตัดสินปัญหา
3.การเป็นผู้จัดสรรทรัพยากรซึ่งมีปริมาณจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด
การตัดสินใจ
1. แนวคิดและความหมาย
การตัดสินใจ คือ
กระบวนการที่ใช้แก้ปัญหาที่เกิดจากการดำเนินการด้านต่าง ๆ ของธุรกิจ
ตามลำดับขั้นตอน ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1
ระบุปัญหาที่ต้องการแก้ไข
ขั้นตอนที่ 2
เลือกวิธีการแก้ปัญหา
ขั้นตอนที่ 3
เก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อสร้างแบบจำลองการตัดสินใจ
ขั้นตอนที่ 4
ระบุทางเลือกที่ได้จากแบบจำลองการตัดสินใจ
ขั้นตอนที่ 5
ประเมินข้อดีและข้อเสียของแต่ละทางเลือก
ขั้นตอนที่ 6
เลือกและปฏิบัติตามแนวทางแก้ปัญหาที่ดีที่สุด
2. แบบจำลองการตัดสินใจและการแก้ปัญหา
Stair and
Reynolds (2006, p.455) ได้กล่าวถึง เฮอร์เบิร์ต ไซมอน
ว่าเป็นผู้พัฒนาแบบจำลองการตัดสินใจซึ่งเป็นที่ยอมรับทั่วไป โดยแบ่งเป็น 3 ขั้นตอน
ในเวลาต่อมา จอร์จฮูเบอร์ ได้ขยายแบบจำลองการตัดสินใจเป็นแบบจำลองการแก้ปัญหา
โดยเพิ่มขั้นตอนอีก 2 ขั้นตอนคือ ขั้นทำให้เกิดผล และขั้นกำกับดูแล ซึ่งรวมทั้งสิ้น 5 ขั้นตอน
ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 ขั้นอัจฉริยะ คือ
ขั้นของจำแนกและนิยามถึงปัญหาและโอกาสทางธุรกิจไว้อย่างชัดเจน
โดยเก็บรวบรวมข้อมูลที่สัมพันธ์กับสาเหตุและขอบเขตของปัญหา
ขั้นตอนที่ 2 ขั้นออกแบบ คือ
ขั้นของการพัฒนาทางเลือกของการแก้ปัญหาที่หลากหลายด้วยวิธีการต่าง ๆ
เป็นขั้นการประดิษฐ์ พัฒนา และวิเคราะห์หาชุดปฏิบัติการโดยอาจใช้ระบบสนับสนุนการตัดสินใจเป็นเครื่องมือสร้างชุดปฏิบัติการเท่าที่เป็นไปได้
ขั้นตอนที่ 3 ขั้นตัวเลือก คือ ขั้นตอนการเลือกชุดปฎิบัติการที่ดีที่สุด
โดยใช้เครื่องมือสื่อสาร ช่วยคำนวณค่าใช้จ่ายและติดตามผลของการใช้สุดปฎิบัติการนั้น
ขั้นตอนที่ 4
ขั้นทำให้เกิดผล คือ ขั้นตอนการนำชุดปฏิบัติการที่เลือกไว้ในขั้นตัวเลือก
ไปใช้ให้เกิดผลลัพธ์
ขั้นตอนที่ 5 ขั้นกำกับดูแล คือ
ขั้นของการประเมินผลชุดปฏิบัติการที่ถูกนำไปใช้โดยผู้ตัดสินใจ และติดตามผลลัพธ์ว่าสามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งได้หรือไม่
อีกทั้งยังได้ทราบผลป้อนกลับ
3. การจำแนกประเภท
3.1 การตัดสินใจแบบงมีโครงสร้าง
เป็นการตัดสินใจของปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ กันทุกวัน มีลักษณะเป็นงานประจำ
สามารถเข้าใจได้ง่าย มักใช้กับการทำงานของผู้จัดการระดับล่าง
3.2 การตัดสินใจแบบกึ่งโครงสร้าง
เป็นการตัดสินใจซึ่งเกี่ยวกับเรื่องที่มักใช้กฎเกณฑ์เพียงบางส่วน
จึงต้องอาศัยวิจารณญาณเข้าช่วย ร่วมกับการใช้สารสนเทศช่วยตัดสินใจ
มักใช้งานกับผู้จัดการระดับกลาง
3.3 การตัดสินใจแบบไม่มีโครงสร้าง
เป็นการตัดสินใจกับเรื่องที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนัก ไม่มีกรอบการทำงาน
อาจมีการนำเสนอสารสนเทศบางส่วน มักใช้กับผู้บริหารระดับสูงในองค์การ
4. รูปแบบการตัดสินใจ
4.1 ระดับบุคคล
เป็นระดับการตัดสินใจในส่วนการใช้แบบแผนการรับรู้
อธิบายถึงลักษณะนิสัยส่วนบุคคลในการตอบสนองต่อข่าวสาร ซึ่งสามารถเลือกแนวทางปฏิบัติและการประเมินค่าผลที่ตามมาได้
2 รูปแบบ ดังนี้
รูปแบบที่ 1
การตัดสินใจอย่างเป็นระบบ คือ การใช้วิธีศึกษาปัญหาอย่างมีระเบียบแบบแผน
โดยทำการเก็บรวบรวมข้อมูล และประเมินค่าข่าวสาร
รูปแบบที่ 2
การตัดสินใจโดยใช้สามัญสำนึก คือ การใช้วิธีการหลาบรูปแบบมาผสมผสานกัน
ไม่มีการปะเมินข่าวสารที่รวบรวมได้
4.2 ระดับองค์การ
เป็นระดับการตัดสินใจที่ถูกกระทำโดยกลุ่มบุคคลภายในองค์การ
ซึ่งให้ความสำคัญกับโครงสร้างและนโยบายเป็นสำคัญ แบ่งได้ 3 รูปแบบ ดังนี้
รูปแบบที่ 1
การตัดสินใจตามรูปแบบราชการ คือ รูปแบบที่ใช้ในองค์การที่ปฏิบัติงานต่อเนื่องมาหลายปีและแบ่งหน่วยงานออกเป็นหลายหน่วยย่อย
แต่ละหน่วยจัดการกับปัญหาเฉพาะที่ตนเชี่ยวชาญเท่านั้น
รูปแบบที่ 2
การตัดสินใจตามรูปแบบการปกครอง คือ
รูปแบบที่ใช้ในองค์การที่มีการยกอำนาจการปกครองอยู่ในมือบุคคลเพียงไม่กี่บุคคล
อาจมีความคิดเห็นที่ขัดแย้งกันสำหรับการตัดสินใจ
รูปแบบที่ 3
การตัดสินใจตามรูปแบบถังขยะ คือ
รูปแบบการตัดสินใจที่ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของการใช้เหตุผล การตัดสินใจ
มักเกิดขึ้นจากาความบังเอิญมากกว่า
สารสนเทศเพื่อการจัดการและการตัดสินใจ
ศุภิสราพร สุธาทิพยะรัตน์ ได้ให้นิยามไว้ว่า
สารสนเทศเพื่อการจัดการ
คือสารสนเทศที่ได้จากการสรุปข้อมูลจากฐานข้อมูลดำเนินงานขององค์การเพื่อให้เห็นภาพรวมและแนวโน้มทางการเงิน
การตลาด และการผลิตของบริษัท ซึ่งมีคุณลักษณะที่ดี 7 ประการ คือ
1.สารสนเทศที่ช่วยให้ผู้บริหารทราบสถานการณ์ปัจจุบัน หรือระดับผลงานที่ทำได้
2. สารสนเทศด้านปัญหาจากการดำเนินงานและรายงานด้านโอกาสที่กำลังจะเกิดขึ้น
3. สารสนเทศด้านการเปลี่ยนแปลงที่มักส่งผลให้การดำเนินงานของธุรกิจหยุดชะงัก
4. สารสนเทศเกี่ยวกับแผนงานหรือโครงการใหม่ที่กำลังจะเริ่มต้นในอนาคต
5. สารสนเทศที่แจ้งให้ทราบถึงผลดำเนินงานของธุรกิจ ทั้งในส่วนผลประกอบการ
ส่วนแบ่งตลาด และยอดขายในช่วงฤดูกาลต่าง ๆ
รวมทั้งผลดำเนินงานที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย
6. สารสนเทศภายนอกเกี่ยวกับข้อคิดเห็น คู่แข่ง และการเปลี่ยนแปลงทางการเงิน
การตลาด
7. สารสนเทศที่แจกจ่ายออกสู่ภายนอก เพื่อแจ้งให้ผู้ถือหุ้นและผู้สื่อข่าวทราบ
นอกจากนี้ Stair and Reynolds ได้จำแนกประเภทของสารสนเทศเพื่อการจัดการและการตัดสินใจออกเป็น
5 ประเภท ดังนี้
1.รายงานตามกำหนดการ คือ
รายงานที่ผลิตขึ้นตามงวดเวลาหรือตามตารางเวลาที่วางไว้ เช่น การใช้รายงานสรุปรายสัปดาห์ของผู้จัดการผลิต
ซึ่งแสดงถึงต้นทุนเงินเดือนทั้งหมด
เพื่อผลสำหรับการติดตามและควบคุมต้นทุนค่าแรงและต้นทุนงาน โดยมีการอกกรายงานวันละ 1 ครั้ง
2. รายงานตัวชี้วัดหลัก คือ
รายงานสรุปถึงกิจกรรมวิกฤติของวันก่อนหน้านี้ และใช้เป็นแบบฉบับของการเริ่มต้นกิจกรรมใหม่
ซึ่งจะสรุปถึงระดับสินค้าคงเหลือ กิจกรรมผลิต ปริมาณขาย
โดยมักมีการนำเสนอต่อผู้จัดการและผู้บริหาร
3. รายงานตามคำขอ คือ รายงานที่ถูกพัฒนาขึ้น
เพื่อนำเสนอสารสนเทศตามที่ผู้ใช้ร้องขอ คือ การผลิตรายงานตามความต้องการของผู้ใช้
เช่น ผู้บริหารต้องการทราบสถานะของผลิตภัณฑ์เฉพาะรายการ
4. รายงานตามยกเว้น คือ รายงานที่มักมีการผลิตขึ้นอย่างอัตโนมัติ
เมื่อเกิดเหตุการณ์ผิดปกติหรือเกิดความต้องการพิเศษทางการจัดการ
5. รายงานเจาะลึกในรายละเอียด คือ
รายงานที่ช่วยสนับสนุนรายละเอียดที่เพิ่มขึ้นภายใต้สถานการณ์หนึ่ง
จะมองเห็นข้อมูลในภาพรวม เช่น มองยอดขายรวมของบริษัท
แล้วค่อยมองข้อมูลในส่วนที่เป็นรายละเอียด
กระบวนการทางธุรกิจของระบบสารสนเทศ
1. ระบบประมวลผลธุรกรรม
Stair and Reynolds ได้ให้คำจำกัดความไว้ว่า ระบบประมวลผลธุรกรรม
หรือ ทีพีเอส คือ ชุดขององค์ประกอบต่าง ๆ เช่น บุคลากร กระบวนการ ซอฟต์แวร์ฐานข้อมูลและอุปกรณ์
ซึ่งถูกรวบรวมไว้อย่างเป็นระบบเพื่อนำมาใช้บันทึกรายการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจอย่างสมบูรณ์แบบ
ระบบพื้นฐานทางธุรกิจ
ซึ่งมักถูกพัฒนาเป็นระบบคอมพิวเตอร์ระบบแรก คือ ระบบเงินเดือน สิ่งรับเข้า คือ
จำนวนชั่วโมงแรงงานของลูกจ้างในช่วงหนึ่งสัปดาห์ และอัตราการจ้างเงินเดือน
สิ่งส่งออก คือ เช็คเงินเดือน ระบบเงินเดือน
2. ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ
Laudon and Laudon ได้ให้นิยามไว้ว่า
เป็นระบบที่ใช้สนับสนุนการทำงานของผู้จัดการระดับล่าง
และระดับกลางเพื่อการนำเสนอรายงาน ข้อมูลทั่วไป ข้อมูลเฉพาะด้านและข้อมูลในอดีต
ซึ่งมุ่งเน้นการตอบสนองความต้องการของบุคลากรภายในองค์การมากกว่าความต้องการของหน่วยงานภายนอกองค์การ
Stair and Reynolds ได้ให้นิยามไว้ว่า เป็นระบบที่พัฒนาขึ้น
เพื่อการนำเสนอสารสนเทศประจำวันต่อผู้จัดการและผู้ตัดสินใจในหน้าที่งานต่าง ๆ
จุดมุ่งหมาย คือ ประสิทธิภาพเบื้องต้นของการดำเนินงานด้านการตลาด การผลิต
การเงินที่มีการเชื่อมโยงข้อมูลในฐานข้อมูลรวมขององค์การ
3. ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ
3.1 แนวคิดและความหมาย Stair and Reynolds ได้ให้นิยามไว้ว่า ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ หรือ
ดีเอสเอส
เป็นระบบที่พัฒนาขึ้นเพื่อใช้สนับสนุนการตัดสินใจสำหรับการแก้ปัญหาเฉพาะเรื่อง
จุดมุ่งหมาย คือ การตัดสินใจอย่างมีประสิทธิผล
โดยเอ็มไอเอสจะให้การสนับสนุนองค์การทำสิ่งต่าง ๆ ให้ถูกต้อง
Turban et al ได้ให้นิยามไว้ว่า คือ
ระบบสารสนเทศบนพื้นฐานของการใช้คอมพิวเตอร์
ซึ่งมีการเก็บรวบรวมตัวแบบและข้อมูลเข้าด้วยกัน
เพื่อแก้ปัญหากึ่งโครงสร้างและปัญหาไม่มีโครงสร้าง
ซึ่งมักครอบคลุมการตัดสินใจของผู้ใช้
และเป็นระบบที่แสดงถึงแนวโน้มหรือปรัชญามากกว่าหลักการที่ถูกต้องแม่นยำเหตุผลของการใช้ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ
มีดังนี้
1. ผู้บริหารเกิดความต้องการสารสนเทศใหม่ ๆ ที่มีความถูกต้องแม่นยำอย่างรวดเร็ว
2. การดำเนินธุรกิจ ภายใต้สภาวการณ์ทางเศรษฐกิจที่ไม่มีเสถียรภาพ
3. หน่วยงานระบบสารสนเทศ ไม่ค่อยรับรู้ถึงความต้องการที่หลากหลายของบริษัท
ยังขาดฟังก์ชันด้านการวิเคราะห์ธุรกิจ ซึ่งจำเป็นต่อการบริหารและตัดสินใจ
4. เกิดจากความเคลื่อนไหวของคอมพิวเตอร์ด้านผู้ใช้ขั้นปลาย
3.2 สมรรถภาพของระบบ ได้ระบุถึงสมรรถภาพโดยรวมของระบบ
ดังนี้
1. สามารถใช้ดีเอสเอสได้ในทุกระดับชั้นของผู้บริหารไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจรายบุคคลหรือรายกลุ่มก็ตาม
มักใช้กับปัญหากึ่งโครงสร้างและไม่มีโครงสร้าง
2. สามารถใช้ดีเอสเอสได้ ทั้งในส่วนการตัดสินใจเชิงสัมพันธ์และเชิงลำดับ
3. สามารถใช้ดีเอสเอสได้ทุก ๆ ระยะของกระบวนการตัดสินใจ
4. ผู้ใช้สามารถปรับระบบให้เหมาะสมกับการใช้งานภายใต้เวลาและสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง
5. ระบบที่ใช้มักง่ายต่อการสร้าง และสามารถใช้ได้หลายกรณี
6. ระบบที่ใช้จะช่วยสนับสนุนการเรียนรู้
และการกลั่นกรองระบบประยุกต์ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน
7. ระบบที่ใช้ประกอบด้วยตัวแบบเชิงปริมาณที่เป็นประโยชน์ต่อการวิเคราะห์ข้อมูล
8. ระบบดีเอสเอสชั้นสูง มักถูกใช้เครื่องมือภายใต้การจัดการความรู้
9. ระบบอาจถูกแพร่กระจายการใช้งานผ่านเว็บ
10. ระบบอาจถูกใช้สนับสนุนการปฏิบัติ ด้านการวิเคราะห์ความไว
3.3 ลักษณะเฉพาะของระบบ
3.3.1 การวิเคราะห์ความไว คือ
การศึกษาผลกระทบของการใช้ตัวแบบในส่วนต่าง ๆ ของระบบ ที่สามารถตรวจสอบผลกระทบด้านการเปลี่ยนแปลงของตัวแปรนำเข้าที่มีต่อตัวแปรซึ่งเป็นผลลัพธ์ของการตัดสินใจ
(Turban et al., 2006, p.466)
3.3.2 การค้นหาเป้าหมาย คือ
กระบวนการกำหนดข้อมูลที่เป็นปัญหาซึ่งต้องการคำตอบของการแก้ปัญหานั้น (Stair
& Reynolds, 2006,p.481)
3.3.3 การจำลอง เป็นความสามารถหนึ่งของดีเอสไอโดยทำการสำเนาลักษณะเฉพาะของระบบจริง
เช่น จำนวนครั้งของการซ่อมแซมส่วนประกอบของกุญแจ
จะต้องคำนวณเพื่อกำหนดผลกระทบต่อจำนวนผลิตภัณฑ์ซึ่งสามารถผลิตได้ในแต่ละวัน
3.4 โครงสร้างและส่วนประกอบของระบบ
3.4.1 ระบบจัดการข้อมูล
ข้อมูลที่ไหลเวียนจากหลาย ๆ แหล่ง และถูกนำมาสกัดเป็นข้อมูลเพื่อเข้าสู่ฐานข้อมูลของดีเอสเอส
หรือโกดังข้องมูล
3.4.2 ระบบจัดการตัวแบบ
โดยมักใช้ตัวแบบเชิงปริมาณสำหรับซอฟต์แวร์มาตรฐานด้านการเงิน สถิติ
และวิทยาการจัดการ
3.4.3 ส่วนต่อประสานกับผู้ใช้
ครอบคลุมถึงการสื่อสาระหว่างผู้ใช้ระบบในบางระบบที่ถูกพัฒนาอย่างชำนาญการ เช่น
ความง่ายของการโต้ตอบกับระบบจะช่วยสนับสนุนให้ผู้จัดการและพนักขายเต็มใจใช้ระบบ
3.4.4 ผู้ใช้ขั้นปลาย คือ
บุคคลผู้ซึ่งเผชิญหน้ากับปัญหาหรือการตัดสินใจ คือ
ผู้จัดการหรือผู้ตัดสินใจนั่นเอง
3.4.5 ระบบจัดการความรู้ใช้สำหรับการแก้ปัญหากึ่งโครงสร้างและไม่มีโครงสร้าง
ซึ่งต้องการความรู้ความชำนาญมาช่วยหาคำตอบของปัญหาเหล่านั้น
3.5 กระบวนการทำงาน
ส่วนประกอบของดีเอสเอส คือ
ซอฟต์แวร์ทั้งหมดที่ทำงานบนพื้นฐานของฮาร์ดแวร์มาตรฐาน เช่น มัลติมีเดีย
โดยอาจใช้เครื่องมือ เช่น แผ่นตารางทำการ
4. ระบบสนับสนุนผู้บริหาร
4.1 วิสัยทัศน์ อีเอสเอส คือ
รูปแบบพิเศษของระบบที่ใช้เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารระดับสูง
ตลอดจนการใช้เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์ปัญหาด้านต่าง ๆ
4.2 คุณลักษณะ
อีเอสเอสมักจะประกอบด้วยคุณลักษณะทั่วไป ดังนี้
1. เป็นระบบเชิงโต้ตอบที่ถูกสั่งทำโดยผู้บริหารรายบุคคล
2. เป็นระบบที่ไม่ซับซ้อน ง่ายต่อการเรียนรู้และการใช้งาน
3. เป็นระบบที่มีความสามารถเจาะลึกในรายละเอียดของแหล่งข้อมูล
4. เป็นระบบที่สนับสนุนความต้องการข้อมูลภายนอกองค์การ
5. เป็นระบบสนับสนุนการตัดสินใจภายใต้สภาวการณ์ที่ไม่แน่นอน
6. เป็นระบบที่ใช้กำหนดทิศทางในอนาคตขององค์การ
7. เป็นระบบที่ถูกเชื่อมโยงด้วยมูลค่าเพิ่มของกระบวนการทางธุรกิจ
4.3 สมรรถภาพของระบบ
4.3.1 การสนับสนุนด้านการกำหนดวิสัยทัศน์ขององค์การ
เป็นงานหลักที่สำคัญของผู้บริหารระดับสูง
4.3.2 การสนับสนุนด้านการวางแผนกลยุทธ์
โดยใช้เครื่องมือกำหนดวัตถุประสงค์ระยะยาว วิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อนขององค์การ
4.3.3 การสนับสนุนด้านการจัดการองค์การ
และการจัดคนเข้าทำงาน ใช้วิเคราะห์ผลกระทบต่อการตัดสินใจด้านการจัดคนเข้าทำงาน
การยกระดับการจ่ายเงินเดือน
4.3.4 การสนับสนุนด้านการควบคุมกลยุทธ์
เป็นเครื่องมือด้านการติดตามดูแลการดำเนินงานในภาพรวมขององค์การ การแสวงหาเป้าหมาย
การจัดสรรทรัพยากร
4.3.5 การสนับสนุนด้านการจัดการเชิงวิกฤติ
โดยองค์การอาจต้องเผชิญหน้ากับวิกฤติต่าง ๆ เช่น วิกฤติเศรษฐกิจ การเกิดพายุ
น้ำท่วม เป็นต้น
เทคโนโลยีทางการจัดการ
1. ระบบสนับสนุนการตัดสินใจกลุ่ม
Turban et al. ได้ให้นิยามว่า
คือ ระบบพื้นฐานของการใช้คอมพิวเตอร์เชิงโต้ตอบ
ที่อำนวยความสะดวกด้านการค้นหาคำตอบของปัญหากึ่งโครงสร้างและไม่มีโครงสร้าง
ถูกนำมาใช้โดยกลุ่มตัดสินใจที่มุ่งเน้นการสนับสนุนกระบวนการตัดสินใจ
Stair and Reynolds ได้ระบุคุณลักษณะสำคัญของจีดีเอสเอส
ซึ่งจะนำมาลบล้างการปฏิบัติหน้าที่ของกลุ่มร่วมงานที่มักเกิดความขัดแย้งของกระบวนการกลุ่ม
ดังนี้
1. การไม่ระบุชื่อผู้นำเข้าข้อมูล
2. การลดพฤติกรรมกลุ่มด้านการคัดค้าน
3. การสื่อสารทางขนานตามวัฒนธรรมการประชุมแบบเดิม
มีการใช้ระบบสนับสนุนด้านเครือข่าย จึงก่อให้เกิดการประชุม 3 รูปแบบใหม่ ดังนี้
รูปแบบที่ 1 เครือข่ายตัดสินใจเฉพาะที่
รูปแบบที่ 2 การประชุมทางไกล
รูปแบบที่ 3 เครือข่ายตัดสินใจบริเวณกว้าง
2.ห้องตัดสินใจ
เป็นสถานการณ์ในอุดมคติ
ซึ่งถูกติดตั้งในอาคารเดียวกันกับผู้ตัดสินใจหรือในพื้นที่ภูมิศาสตร์เดียวกัน
และผู้ตัดสินใจ คือ ผู้ใช้เฉพาะกาลของจีดีเอสเอส
โดยอีกทางเลือกหนึ่งของห้องตัดสินใจ คือ
การรวมส่วนประกอบของระบบโต้ตอบด้วยวาจาแบบเผชิญหน้า
ด้วยการรวมตัวของกลุ่มเทคโนโลยี
3. ปัญญาประดิษฐ์
Stair and Reynolds ได้ระบุไว้ว่า ปัญญาประดิษฐ์
จะประกอบด้วยสาขาย่อย เช่น วิทยาการหุ่นยนต์ ระบบภาพ การประมวลภาษาธรรมชาติ
โครงข่ายประสาท ระบบการเรียนรู้ รวมทั้งระบบผู้เชี่ยวชาญ
4. ระบบผู้เชี่ยวชาญ
คือ ระบบคอมพิวเตอร์ที่สามารถแนะนำและกระทำการ
ดังเช่น ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะสาขานั้น ๆ มูลค่าพิเศษของระบบผู้เชี่ยวชาญ คือ
การให้เครื่องมือในการจับและใช้ความรอบรู้ของผู้เชี่ยวชาญหรือผู้เชี่ยวชาญพิเศษ
รวมทั้งใช้ในด้านการติดตามงานระบบงานที่ซับซ้อน เพื่อการบรรลุด้านมูลค่าเพิ่มหรือรายได้ที่เหมาะสมซึ่งจะถูกบรรจุไว้ภายในฐานความรู้
5. ความเป็นจริงเสมือน
คือ
การจำลองความจริงและสภาพแวดล้อมที่ถูกคาดการณ์ขึ้นด้วยแบบจำลอง 3 มิติ Stair
and Reynolds ได้กล่าวถึง โลกเสมือน คือ การแสดงระดับเต็มที่สัมพันธ์กับขนาดของมนุษย์
โดยการติดตั้งรูปแบบ 3 มิติ สำหรับอุปกรณ์รับเข้าของความเป็นจริงเสมือนที่หลากหลาย เช่น จอภาพบนศีรษะ
ถุงมือข้อมูล ก้านควบคุม และคทามือถือที่เป็นตัวนำทางผู้ใช้ผ่ายสิ่งแวดล้อมเสมือน
สรุป
ธุรกิจยุคปัจจุบัน
จำเป็นต้องพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการและการตัดสินใจในทุกๆ
องค์ประกอบขึ้นใช้สำหรับผู้บริหารและผู้ตัดสินใจ โดยวิวัฒนาการของระบบจะเริ่มต้นตั้งแต่ระบบประมวลผลธุรกรรม
ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ และระบบสนับสนุนผู้บริหาร
อีกทั้งยังมีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ภายใต้รูปแบบของระบบสนับสนุนการตัดสินใจกลุ่ม
ห้องตัดสินใจและระบบสารสนเทศพิเศษต่างๆ ทั้งในรูปแบบของปัญญาประดิษฐ์
ระบบผู้เชี่ยวชาญ และความเป็นจริงเสมือน
เพื่อช่วยขยายขีดความสามารถของการตัดสินใจให้ดียิ่งขึ้น
ในส่วนสารสนเทศเพื่อการจัดการและการตัดสินใจมักถูกนำเสนอในรูปแบบรายงานที่จำแนกได้หลายรูปแบบ
คือ รายงานตามกำหนดการ รายงานตัวชี้วัดหลัก รายงานตามคำขอ
รายงานตามยกเว้นและรายงานเจาะลึกในรายระเอียด
ผู้จัดการและผู้บริหารมักใช้รายงานเหล่านี้สำหรับทุกๆ กระบวนการทางธุรกิจ เช่น
ระบบประมวลผลธุรกรรมมักมีการนำเสนอในรูปแบบรายงานตามกำหนดการ
ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการมักมีการนำเสนอรายงานตามคำขอและรายงานตามยกเว้น อีกทั้ง
ระบบสนับสนุนผู้บริหาร อาจมีการนำเสนอรายงานตัวชี้วัดหลัก
และรายงานเจาะลึกในรายระเอียด เป็นต้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น